ชื่อผลงานวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561รายวิชา ส23103 ประวัติศาสตร์5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทย
สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เรื่องที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
ชื่อ-สกุล นายมิตรสัน ด้วงธรรม
ตำแหน่ง ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนเพชรพิทยาคม
ปีที่ทำวิจัย 2561
ประเภทวิจัย วิจัยในชั้นเรียน
บทคัดย่อ
การศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) รายวิชา ส23103 ประวัติศาสตร์5 มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) รายวิชา ส23103 ประวัติศาสตร์5 โดยกลุ่มประชากรในการศึกษาได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 ผลการศึกษาพบว่า การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางเรียนของผู้เรียนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับการเรียนการสอนแบบปกตินักเรียนมีทักษะกระบวนการคิด มีความรับผิดชอบ มีทักษะกระบวนการกลุ่มและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าการเรียน แบบปกติ
การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถเพิ่มทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น โดยกระตุ้นให้นักเรียน มีการช่วยเหลือกลุ่มอย่างเต็มความสามารถ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มด้วยเหตุผลและรับฟังความคิดเห็นด้วยใจที่เป็นกลางดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ที่มาและความสำคัญของปัญหา
จากการจัดการเรียนการสอนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 ที่ผ่านมาของรายวิชา ส23103
ประวัติศาสตร์5 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 โรงเรียนเพชรพิทยาคม จังหวัดเพชรบูรณ์ พบว่าทุกครั้งเมื่อให้ผู้เรียนจัดกลุ่มการเรียนรู้กลุ่มละ 5 หรือ 10 คน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) นักเรียนมักจะเลือกอยู่กลุ่มเดียวกับเพื่อนที่ตนเองสนิทเสมอ ผู้เรียนเองมักจะขาดปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนคนอื่น ๆในห้องเรียน เมื่อผู้สอนได้มอบหมายงาน ใบงาน หรือกิจกรรมให้กับผู้เรียนแต่ละกลุ่มการเรียนรู้ทำงานจึงพบว่าผู้เรียน ขาดการวางแผนการทำงาน ผู้เรียนบางคนจึงไม่ทราบบทบาทและหน้าที่ของตนอย่างชัดเจนภาระงานจึงตกอยู่ที่ผู้เรียนบางคนภายในกลุ่มการเรียนรู้เท่านั้นทำให้เกิดสภาวะส่งงานไม่ทันตามที่ผู้สอนได้กำหนดและผลงานยังมีข้อบกพร่องหลายอย่างแต่เมื่อมอบหมายงานให้ผู้เรียนทำคนเดียว ผลงานของผู้เรียนส่วนใหญ่ ก็จะมีข้อบกพร่องน้อยกว่าผลงานของกลุ่มการเรียนรู้แสดงให้เห็นว่าผู้เรียนยังขาดพฤติกรรมการทำงานร่วมกับผู้อื่นซึ่งทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนอาจต่ำกว่าที่ควรจะได้รับการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) เป็นวิธีเรียนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ทำให้ผู้เรียนมีสัมพันธภาพอันดีกับผู้อื่น มีการปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด สมาชิกแต่ละคนได้รับทราบบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของตน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนประเมินการทำงานของสมาชิกภายในกลุ่มการเรียนรู้ มีการให้กำลังใจซึ่งกันและกันภายในกลุ่มการเรียนรู้และมีการค้นหาวิธีการปรับปรุงการทำงานของกลุ่มการเรียนรู้เพื่อพัฒนางานให้ดีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอันจะส่งผลให้บรรลุตามเป้าหมายร่วมกันต่อไป
(วรรณทิพา รอดแรงค้า, 2538; Johnson, D ; Johnson Roger and Johnson, Holubec.1993.)และนอกจากนี้การจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) ยังได้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถของตนอย่างเต็มที่ สมาชิกที่อยู่ในกลุ่มอ่อนภายในกลุ่มจะได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนสมาชิกภายในกลุ่มอีกด้วย เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จร่วมกันและพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนให้สูงขึ้นได้ (ดาวคลี่, 2543; แพรวพรรณ์, 2544; Back,1993 อ้างถึงใน สุวิมล, 2542; Theodora De Baz, 2001 )
วัตถุประสงค์
เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) รายวิชา ส23103 ประวัติศาสตร์5
ขอบเขตของการวิจัย
1. กลุ่มที่ศึกษาเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการจัดการ
เรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) รายวิชา ส23103 ประวัติศาสตร์5
2. ตัวแปรที่ศึกษาประกอบด้วย
2.1 ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning)
2.2 ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
นิยามศัพท์
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในการเรียนของผู้เรียน ในรายวิชา ส23103 ประวัติศาสตร์5 ซึ่งวัดได้จากคะแนนจากการทำแบบทดสอบก่อนและหลังเรียน กิจกรรมตามใบงาน แบบบันทึกคะแนน แบบประเมินผลงานกลุ่ม แบบประเมินคะแนนและแบบสังเกตพฤติกรรมของผู้สอน
ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ หมายถึง พฤติกรรมการเรียนในการทำงานกลุ่ม ได้แก่
การช่วยเหลือกลุ่ม มีความรับผิดชอบ การแสดงความคิดเห็น รับฟังความคิดเห็นและสามารถระบุบทบาทหน้าที่ของตนเองในการทำงานร่วมกับเพื่อนในกลุ่มได้ ตั้งแต่วางแผนการทางาน การดาเนินตามแผนที่วางไว้ ตลอดจนการนาเสนอผลงาน ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ โดยการสัมภาษณ์ แบบประเมินตนเองและเพื่อนใน กลุ่มในการทางานเป็นกลุ่มและแผนภาพสังคมมิติ
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) หมายถึง วิธีการเรียนที่ส่งเสริมผู้เรียนได้ร่วมมือกันในการเรียนเพื่อช่วยให้เกิดการเรียนรู้และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข โดยเน้นรูปแบบการต่อบทเรียน (Jigsaw)และการศึกษาค้นคว้าเป็นกลุ่ม (Group Investigation) ที่มีการประเมินทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมินด้วย
นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/8 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนเพชรพิทยาคม จังหวัดเพชรบูรณ์ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา ส23103 ประวัติศาสตร์5
หน่วยการเรียนรู้ หมายถึง หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เรื่องที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
การวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 รายวิชา ส23103 ประวัติศาสตร์5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เรื่องที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ผู้ศึกษาค้นคว้าได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาค้นคว้าโดย เรียงลำดับตามหัวข้อดังต่อไปนี้
ทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative
Learning)
ความหมายทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and
Collaborative Learning) ดังต่อไปนี้
อารี สัณหฉวี (2543) กล่าวว่า การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ หมายถึงเป็นวิธีการเรียนที่ให้นักเรียนทำงานด้วยกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อให้เกิดผลการเรียนรู้ทั้งทางด้านความรู้และทางด้านจิตใจช่วยให้นักเรียนเห็นด้านจิตใจคุณค่าในความแตกต่างระหว่างบุคคลของเพื่อนๆ เคารพความคิดเห็นและความสามารถของผู้อื่นที่แตกต่างจากตนตลอดจนรู้จักช่วยเหลือและสนับสนุนเพื่อน ๆ สลาวิน
พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์. (2544) กล่าวว่า การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ หมายถึง วิธีการสอนอีกแบบหนึ่ง ซึ่งกำหนดให้นักเรียนที่มีความสามารถแตกต่างกันทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ โดยปกติจะมี 4 คน เป็นนักเรียนที่เรียนเก่ง 1 คน เรียนปานกลาง 2 คนและเรียนอ่อน 1 คน การทดสอบของนักเรียนจะแบ่งออกเป็น 2 ตอน ตอนแรกจะพิจารณาค่าเฉลี่ยของทั้งกลุ่มตอนที่ 2 จะพิจารณาคะแนนทดสอบเป็นรายบุคคลโดยการทดสอบนักเรียนต่างคนต่างทำแต่เวลาเรียนต้องเรียนร่วมกัน รับผิดชอบงานของกลุ่มร่วมกัน โดยที่กลุ่มจะประสบผลสำเร็จได้ เมื่อสมาชิกทุกคนได้เรียนรู้ บรรลุตามจุดมุ่งหมาย เช่นเดียวกัน
มานพ ประธรรมสาร (2546) กล่าวว่า การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ คือการทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายที่มีอยู่ด้วยกัน ภายในกิจกรรมที่ร่วมทำนี้ แต่ละคนจะแสวงหาผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ ใช้ในการสอนกลุ่ม เล็ก ๆ ให้ทำงานร่วมกันตามที่ได้รับมอบหมายจนกระทั่งสมาชิกในกลุ่มทุกคนมีความเข้าใจถูกต้องและทำงานจนเสร็จสมบูรณ์ สมาชิกทุกคนในกลุ่มได้รับประโยชน์จากความพยายามร่วมกัน
สมบัติ กาญจนารักพงค์ (2547) กล่าวว่า การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนร่วมมือและช่วยเหลือกันในการเรียนรู้ โดยแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม เล็ก ๆ 4 - 5 คน ที่มีความสามารถแตกต่างกันทางานร่วมกันเพื่อเป้าหมายกลุ่มสมาชิกมีปฏิสัมพันธ์ส่งเสริมซึ่งกันและกันรับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนตนและส่วนรวม ผลงานของกลุ่มขึ้นอยู่กับผลงานของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม ความสำเร็จของแต่ละคนคือความสำเร็จของกลุ่ม
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ขั้นเตรียม แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ 2-6 คน แนะนำทักษะในการเรียนรู้ร่วมกัน ระเบียบของกลุ่ม บทบาทหน้าที่ของสมาชิกกลุ่ม หรืออาจจะฝึกทักษะพื้นฐานของนักเรียนบางอย่าง
2. ขั้นสอน ครูนำเข้าสู่บทเรียน แนะนำเนื้อหา แนะนำแหล่งข้อมูล และมอบหมายภาระงานให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม โดยใช้ใบงาน
3. ขั้นทำกิจกรรมกลุ่ม นักเรียนแต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมตามใบงาน โดยแต่ละคนจะมีบทบาทหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย เพื่อกันรับผิดชอบ เพื่อร่วมกันรับผิดชอบต่อผลงานกลุ่ม
ในการทำกิจกรรมกลุ่ม ครูอาจใช้เทคนิคการจัดกิจกรรม รูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นการทำกิจกรรมแบบร่วมมือ เช่น ผึ้งแตกรัง, ลูกเสือจำแลง, จิ๊กซอ, STAD, TGT เป็นต้น...ซึ่งเมื่อเลือกใช้กิจกรรมใดแล้วขั้นตอนการทำกิจกรรมขงนักเรียนจะปรากฏในใบงาน
4. ขั้นตรวจสอบผลงานและทดสอบ
องค์ประกอบที่สำคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ดังนี้
1. ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก (Positive Interdependence) หมายถึง การที่สมาชิกในกลุ่มทำงานอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน มีการทำงานร่วมกัน โดยที่สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการทำงานนั้น มีการแบ่งปันวัสดุ อุปกรณ์ ข้อมูลต่าง ๆ ในการทำงาน ทุกคนมีบทบาท หน้าที่และประสบความสำเร็จร่วมกัน สมาชิกในกลุ่มจะมีความรู้สึกว่าตนประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จด้วย สมาชิกทุกคนจะได้รับผลประโยชน์ หรือรางวัลผลงานกลุ่มโดยเท่าเทียมกัน เช่น ถ้าสมาชิกทุกคนช่วยกัน ทำให้กลุ่มได้คะแนน 90% แล้ว สมาชิกแต่ละคนจะได้คะแนนพิเศษเพิ่มอีก 5 คะแนน เป็นรางวัล เป็นต้น
2. การมีปฏิสัมพันธ์ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน (Face To Face Promotive Interaction) เป็นการติดต่อสัมพันธ์กัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน การอธิบายความรู้ให้แก่เพื่อนในกลุ่มฟัง เป็นลักษณะสำคัญของการติดต่อปฏิสัมพันธ์โดยตรงของการเรียนแบบร่วมมือ ดังนั้น จึงควรมีการแลกเปลี่ยน ให้ข้อมูลย้อนกลับ เปิดโอกาสให้สมาชิกเสนอแนวความคิดใหม่ๆ เพื่อเลือกในสิ่งที่เหมาะสมที่สุด
3. ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละบุคคล (Individual Accountability) ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละบุคคล เป็นความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของสมาชิกแต่ละบุคคล โดยมีการช่วยเหลือส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความสำเร็จตามเป้าหมายกลุ่ม โดยที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีความมั่นใจ และพร้อมที่จะได้รับการทดสอบเป็นรายบุคคล
4. การใช้ทักษะระหว่างบุคคลและทักษะการทำงานกลุ่มย่อย (Interdependence and Small Group Skills) ทักษะระหว่างบุคคล และทักษะการทำงานกลุ่มย่อย นักเรียนควรได้รับการฝึกฝนทักษะเหล่านี้เสียก่อน เพราะเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้การทำงานกลุ่มประสบผลสำเร็จ นักเรียนควรได้รับการฝึกทักษะในการสื่อสาร การเป็นผู้นำ การไว้วางใจผู้อื่น การตัดสินใจ การ แก้ปัญหา ครูควรจัดสถานการณ์ที่จะส่งเสริมให้นักเรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในปี ค.ศ. 1991 จอห์นสัน และ จอห์นสัน ได้เพิ่มองค์ประกอบการเรียนรู้แบบร่วมมือ ขึ้นอีก 1 องค์ประกอบ ได้แก่
5. กระบวนการกลุ่ม (Group Process) เป็นกระบวนการทำงานที่มีขั้นตอนหรือวิธีการที่จะช่วยให้การดำเนินงานกลุ่มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ สมาชิกทุกคนต้องทำความเข้าใจในเป้าหมายการทำงาน วางแผนปฏิบัติงานร่วมกัน ดำเนินงานตามแผนตลอดจนประเมินผลและปรับปรุงงาน
องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือทั้ง 5 องค์ประกอบนี้ ต่างมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ในอันที่จะช่วยให้การเรียนแบบร่วมมือดำเนินไปด้วยดี และบรรลุตามเป้าหมายที่กลุ่มกำหนด โดยเฉพาะทักษะทางสังคม ทักษะการทำงานกลุ่มย่อย และกระบวนการกลุ่มซึ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับการฝึกฝน ทั้งนี้เพื่อให้สมาชิกกลุ่มเกิดความรู้ ความเข้าใจและสามารถนำทักษะเหล่านี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ จากองค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ซึ่งได้แก่ ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก การปฏิสัมพันธ์ที่ส่งเสริมกันและกัน ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละบุคคล การใช้ทักษะระหว่างบุคคล การทำงานกลุ่มย่อย และกระบวนการกลุ่ม องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้การเรียนรู้แบบร่วมมือแตกต่างออกไปจากการเรียนรู้เป็นกลุ่มแบบดั้งเดิม (Traditional Learning) กล่าวคือ การเรียนเป็นกลุ่มแบบดั้งเดิมนั้น เป็นเพียงการแบ่งกลุ่มการเรียน เพื่อให้นักเรียนปฏิบัติงานร่วมกัน แบ่งงานกันทำ สมาชิกในกลุ่มต่างทำงานเพื่อให้งานสำเร็จ เน้นที่ผลงานมากกว่ากระบวนการในการทำงาน ดังนั้นสมาชิกบางคนอาจมีความรับผิดชอบในตนเองสูง แต่สมาชิกบางคนอาจไม่มีความรับผิดชอบ ขอเพียงมีชื่อในกลุ่ม มีผลงานออกมาเพื่อส่งครูเท่านั้น ซึ่งต่างจากการเรียนเป็นกลุ่มแบบร่วมมือที่สมาชิกแต่ละคนต้องมีความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและต่อเพื่อนสมาชิกในกลุ่มด้วย (ผ่องฉวี มณีรัตนพันธุ์. การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning). สืบค้นข้อมูลจาก https://www.gotoknow.org/posts/201289
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบจิกซอว์
ความหมายของเทคนิค Jigsaw เป็นกิจกรรมที่ครูผู้สอนมอบหมายให้สมาชิกในกลุ่มแต่ละกลุ่มศึกษาเนื้อหาที่กำหนดให้ สมาชิกแต่ละคนจะถูกกำหนดโดยกลุ่ม ให้ศึกษาเนื้อหาคนละตอนที่แตกต่างกัน ผู้เรียนจะไปทำงานร่วมกับสมาชิกกลุ่มอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาเนื้อหาที่เหมือนกัน หลังจากที่ทุกคนศึกษาเนื้อหานั้นจนเข้าใจแล้ว จึงกลับเข้ากลุ่มเดิม แล้วเล่าเรื่องที่ตนศึกษาให้สมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มฟัง โดยเรียงตามลำดับเรื่องราว เสร็จแล้วให้สมาชิกในกลุ่มคนใดคนหนึ่งสรุปเนื้อหาของสมาชิกทุกคนเข้าด้วยกัน ครูผู้สอนอาจเตรียมข้อสอบเกี่ยวกับบทเรียนนั้นไว้ ทดสอบความเข้าใจเนื้อหาที่เรียนในช่วงสุดท้ายของการเรียน(การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค Jigsaw. สืบค้นจาก https://sornordon.wordpress.com)
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค Jigsaw
นักการศึกษาหลายท่านได้เสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิค Jigsaw ไว้ดังนี้
1. ครูแบ่งหัวข้อที่จะเรียนเป็นหัวข้อย่อย ๆ ให้เท่ากับจำนวนสมาชิกของแต่ละคน
2. จัดกลุ่มนักเรียนโดยให้มีความสามารถคละกันภายในกลุ่มเป็น กลุ่มบ้าน (Home group) กลุ่มละ 3-4 คน สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ตนได้รับมอบหมายเท่านั้น
3. นักเรียนที่อ่านหัวข้อย่อยเดียวกันมานั่งด้วยกันเพื่อทำงานซักถาม และทำกิจกรรมในกลุ่มเชี่ยวชาญ (Expert group)
4. นักเรียนแต่ละคนในกลุ่ม Expert group กลับมายังกลุ่มเดิม (Home group) ของตนเอง แล้วผลัดกันอธิบายให้เพื่อนสมาชิกในกลุ่มฟัง เริ่มจากหัวข้อย่อยที่ 1 2 3 และ 4
5. ทำการทดสอบ (Quiz) หัวข้อย่อยที่ 1-4 แก่นักเรียนทุกคนทั้งห้อง (สอบเดี่ยว) แล้วนำคะแนนของสมาชิกแต่ละกลุ่มมารวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม
6. กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดในการสอบครั้งนี้ จะติดประกาศไว้ในป้ายนิเทศของห้องหรือมุมจดหมายข่าวของห้อง
รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ ที่ใช้กันในปัจจุบัน มีหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น
1. รูปแบบ Jigsaw เป็นการสอนที่อาศัยแนวคิดการต่อภาพ ผู้เสนอวิธีการนี้คนแรก คือ Aronson et.al (1978 ,pp. 22-25) ต่อมามีการปรับและเพิ่มเติมขั้นตอนให้มากขึ้น แต่วิธีการหลัก ยังคงเดิม การสอนแบบนี้นักเรียนแต่ละคนจะได้ศึกษาเพียงส่วนหนึ่งหรือหัวข้อย่อยของเนื้อหาทั้งหมด โดยการศึกษาเรื่องนั้นๆ จากเอกสารหรือกิจกรรมที่ครูจัดให้ ในตอนที่ศึกษาหัวข้อย่อยนั้น นักเรียนจะทำงานเป็นกลุ่มกับเพื่อนที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาหัวข้อย่อยเดียวกัน และเตรียมพร้อมที่จะกลับไปอธิบายหรือสอนเพื่อนสมาชิกในกลุ่มพื้นฐานของตนเอง
Jigsaw มีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน คือ
1. การเตรียมสื่อการเรียนการสอน (Preparation Of Materials) ครูสร้างใบงานให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนของกลุ่ม และสร้างแบบทดสอบย่อยในแต่ละหน่วยการเรียน แต่ถ้ามีหนังสือเรียนอยู่แล้วยิ่งทำให้ง่ายขึ้นได้ โดยแบ่งเนื้อหาในแต่ละหัวข้อเรื่องที่จะสอนเพื่อทำใบงานสำหรับผู้เชี่ยวชาญ ในใบงานควรบอกว่านักเรียนต้องทำอะไร เช่น ให้อ่านหนังสือหน้าอะไร อ่านหัวข้ออะไร จากหนังสือหน้าไหนถึงหน้าไหน หรือให้ดูวิดีทัศน์ หรือให้ลงมือปฏิบัติการทดลอง พร้อมกับมีคำถามให้ตอบตอนท้ายของกิจกรรมที่ทำด้วย
2. การจัดสมาชิกของกลุ่มและของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Teams And Expert Groups) ครูจะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆ (Home Groups) แต่ละกลุ่มจะมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่องตามใบงานที่ครูสร้างขึ้น ครูแจกใบงานให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนในกลุ่ม และให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนศึกษาใบงานของตนก่อนที่จะแยกไปตามกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญ (Expert Groups) เพื่อทำงานตามใบงานนั้น ๆ เมื่อนักเรียนพร้อมที่จะทำกิจกรรม ครูแยกกลุ่มนักเรียนใหม่ตามใบงาน กิจกรรมในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญแต่ละกลุ่มอาจแตกต่างกัน ครูพยายามกระตุ้นให้นักเรียนศึกษาหัวข้อตามใบงานที่แตกต่างกัน ดังนั้นใบงานที่ครูสร้างขึ้นจึงมีความสำคัญมาก เพราะในใบงานจะนำเสนอด้วยกิจกรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในแต่ละกลุ่มอาจจะลงมือปฏิบัติการทดลองศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่ได้รับมอบหมาย พร้อมกับเตรียมการนำเสนอสิ่งนั้นอย่างสั้นๆ เพื่อว่าเขาจะได้นำกลับไปสอนสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มที่ไม่ได้ศึกษาในหัวข้อดังกล่าว
3. การรายงานและการทดสอบย่อย (Reports And Quizzes) เมื่อกลุ่มผู้เชี่ยวชาญแต่ละกลุ่มทำงานเสร็จแล้ว ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนก็จะกลับไปยังกลุ่มเดิมของตัวเอง (Home Group) แล้วสอนเรื่องที่ตัวเองทำให้กับสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่ม ครูกระตุ้นให้นักเรียนใช้วิธีการ ต่าง ๆ ในการนำเสนอสิ่งที่จะสอน นักเรียนอาจใช้วิธีการสาธิต อ่านรายงาน ใช้คอมพิวเตอร์ รูปถ่าย ไดอะแกรม แผนภูมิหรือภาพวาดในการนำเสนอความคิดเห็น ครูกระตุ้นให้สมาชิกในกลุ่มได้มีการอภิปรายและซักถามปัญหาต่าง ๆ โดยที่สมาชิกแต่ละคนต้องมีความรับผิดชอบในการเรียนรู้แต่ละเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนนำเสนอ เมื่อผู้เชี่ยวชาญได้รายงานผลงานกับกลุ่มของตัวเองแล้ว ควรมีการอภิปรายร่วมกันทั้งห้องเรียนอีกครั้งหนึ่ง หรือมีการถามคำถามและตอบคำถามในหัวข้อเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนได้ศึกษา หลังจากนั้นครูก็ทำการทดสอบย่อย เกณฑ์การประเมินการให้คะแนนเหมือนกับวิธีการของ การเรียนแบบร่วมมือของรูปแบบ STAD
วิธีการของ Jigsaw จะดีกว่า STAD ตรงที่ว่า เป็นการฝึกให้นักเรียนแต่ละคนมีความรับผิดชอบในการเรียนมากขึ้น และนักเรียนยังรับผิดชอบกับการสอนสมาชิกคนอื่นๆ ของกลุ่มอีกด้วย นักเรียนไม่ว่าจะมีความสามารถมากน้อยแค่ไหนจะต้องรับผิดชอบเหมือนๆ กัน ถึงแม้ว่าความลึกความกว้างหรือคุณภาพของรายงานจะแตกต่างกันก็ตาม
ขั้นตอนการสอนแบบ Jigsaw มีดังนี้
ขั้นที่ 1 ครูแบ่งหัวข้อที่จะเรียนเป็นหัวข้อย่อยเท่าจำนวนสมาชิกของแต่ละกลุ่ม ถ้ากลุ่มขนาด 3 คน ให้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วน
ขั้นที่ 2 จัดกลุ่มนักเรียนให้มีสมาชิกที่มีความสามารถคละกัน เป็นกลุ่มพื้นฐานหรือ Home Groups จำนวนสมาชิกในกลุ่มอาจเป็น 3 หรือ 4 คนก็ได้ จากนั้นแจกเอกสารหรืออุปกรณ์การสอนให้กลุ่มละ 1 ชุด หรือให้คนละชุดก็ได้ กำหนดให้สมาชิกแต่ละคนรับผิดชอบอ่านเอกสารเพียง 1 ส่วนที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น หากแต่ละกลุ่มได้รับเอกสารเพียงชุดเดียว ให้นักเรียนแยกเอกสารออกเป็นส่วนๆ ตามหัวข้อย่อย ดังนี้ ในแต่ละกลุ่ม
นักเรียนคนที่ 1 จะอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 1
นักเรียนคนที่ 2 จะอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 2
นักเรียนคนที่ 3 จะอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 3
ขั้นที่ 3 เป็นการศึกษาในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert Groups)
นักเรียนจะแยกย้ายจากกลุ่มพื้นฐาน (Home Group) ไปจับกลุ่มใหม่เพื่อทำการศึกษาเอกสารส่วนที่ได้รับมอบหมาย โดยคนที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาเอกสารหัวข้อย่อยเดียวกัน จะไปนั่งเป็นกลุ่มด้วยกัน กลุ่มละ 3 หรือ 4 คน แล้วแต่จำนวนสมาชิกของกลุ่มที่ครูกำหนด
ในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ สมาชิกจะอ่านเอกสาร สรุปเนื้อหาสาระ จัดลำดับขั้นตอนการนำเสนอ เพื่อเตรียมทุกคนให้พร้อมที่จะไปสอนหัวข้อนั้น ที่กลุ่มเดิมของตนเอง
ขั้นที่ 4 นักเรียนแต่ละคนในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลับกลุ่มเดิมของตน แล้วผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันอธิบายให้เพื่อนในกลุ่มฟังทีละหัวข้อ มีการซักถามข้อสงสัย ตอบปัญหา ทบทวนให้เข้าใจชัดเจน
ขั้นที่ 5 นักเรียนแต่ละคนทำแบบทดสอบเกี่ยวกับเนื้อหาทั้งหมดทุกหัวข้อ แล้วนำคะแนนของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มมารวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม
ขั้นที่ 6 กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุด จะได้รับรางวัล หรือการชมเชย
การสอนแบบ Jigsaw เป็นการสอนที่อาจนำไปใช้ในการทบทวนเนื้อหาที่มีหลายๆ หัวข้อ หรือใช้กับบทเรียนที่เนื้อหาแบ่งแยกเป็นส่วนๆ ได้ และเป็นเนื้อหาที่นักเรียนศึกษาจากเอกสารและสื่อการสอนได้
วิธีดำเนินการวิจัย
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 รายวิชา ส23103 ประวัติศาสตร์5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เรื่องที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
1. กลุ่มที่ศึกษา
กลุ่มที่ศึกษาเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โดยใช้การเรียนรู้ตามทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) รายวิชา ส23103 ประวัติศาสตร์5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เรื่องที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 40 คน
2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย
1. แผนการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) รายวิชา ส23103 ประวัติศาสตร์5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เรื่องที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โดยใช้เวลาในการเรียนจำนวน จำนวน 4 คาบเรียน 200 นาที (อ้างอิงการวิเคราะห์หลักสูตรรายวิชา รายวิชา ส23103 ประวัติศาสตร์5 ภาคเรียนที่1/2561 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3, หน้า 16.)
2. แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น แบบเลือกตอบจำนวน 10 ข้อ
3. กิจกรรมตามใบงาน ในแต่ละหัวข้อ จำนวน 7 ใบงาน
4. แบบบันทึกคะแนน
5. แบบประเมินผลงานกลุ่ม
6. แบบประเมินคะแนนและ
7. แบบสังเกตพฤติกรรมของผู้สอน
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
1. ก่อนการวิจัยให้ผู้เรียนแต่ละคนเขียนชื่อเพื่อนที่นักเรียนอยากทำงานร่วมด้วย 5 คน ลงในกระดาษที่ผู้วิจัยแจก เพื่อทำแผนภาพสังคมมิติ ศึกษาความสัมพันธ์ของนักเรียนในห้องเรียนก่อนการเรียนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning)
2. นักเรียนประเมินตนเองและเพื่อนในกลุ่มเดิมก่อนการเรียนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) ในแบบประเมินการทำงานกลุ่ม ซึ่งแบ่งเป็น 4 ด้าน ได้แก่ การช่วยเหลือกลุ่ม ความรับผิดชอบ การแสดงความคิดเห็นและการรับฟังความคิดเห็น โดยผู้ที่ได้คะแนนเฉลี่ยในช่วง 18-20 คะแนน ถือว่า มีส่วนร่วมในการทำงานกลุ่มดีมาก ผู้ที่ได้คะแนนรวม เฉลี่ยในช่วง 15-17 คะแนน ถือว่า มีส่วนร่วมในการทำงานกลุ่มดี และผู้ที่ได้คะแนนรวมเฉลี่ยในช่วง 12-14 คะแนน ถือว่า มีส่วนร่วมในการทำงานกลุ่มพอใช้และผู้ที่ได้คะแนนรวมเฉลี่ยในช่วง 9-11 คะแนน ถือว่า การทำงานกลุ่มควรปรับปรุงการมีส่วนร่วมในการทางานกลุ่ม (ดัดแปลงจาก
วรรณทิพา รอดแรงค้า, 2538)
3. นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียนพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จำนวน 10 ข้อ ใช้เวลา 10 นาที
4. ผู้วิจัยดำเนินการสอนตามขั้นตอนต่อไปนี้
4.1 จัดทำคะแนนฐานของนักเรียนแต่ละคน โดยเป็นคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนในการสอบ
ย่อยก่อนกลางภาค ที่ผ่านมา แล้วแบ่งกลุ่มนักเรียนกลุ่มละ 5 คน จำนวน 8 กลุ่มแบบคละเพศและความสามารถ
4.2 จัดการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ ตามทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
(Cooperative and Collaborative Learning) รายวิชา ส23103 ประวัติศาสตร์5 เน้นรูปแบบการต่อบทเรียน (Jigsaw) และการศึกษาค้นคว้าเป็นกลุ่ม (Group Investigation) โดยชี้แจงให้
กลุ่มเข้าใจ เกี่ยวกับขั้นตอนการทำงาน เกณฑ์การประเมินผลงานและให้ผู้เรียนบอกถึงความสำคัญและวิธีการทางานร่วมกัน
4.3 นำเสนอผลรายงานหน้าชั้นเรียนและร่วมอภิปรายทั้งหมด 4 ครั้ง ซึ่งมีคะแนนรวมในแต่
ละครั้ง 10 คะแนน หลังจากนักเรียนแต่ละกลุ่มอภิปราย ผู้วิจัยให้คำแนะนำเพิ่มเติมและนำอภิปรายเพื่อให้ผู้เรียนสรุปความรู้จากการทำกิจกรรม
5. เมื่อผู้สอนจบในหัวข้อต่าง ๆ ตามแผนการจัดการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนทำกิจกรรมตามใบงาน 10 นาที ซึ่งแต่ละหัวข้อคะแนนเต็ม 10 คะแนนและนำคะแนนของนักเรียนที่ได้มาเทียบเป็นคะแนนพัฒนาการ (Improvement Points) ของแต่ละคน ซึ่งหาได้จากความแตกต่างระหว่างคะแนนฐานกับคะแนนที่นักเรียนสอบได้ในการทดสอบย่อย (ถ้าต่ำกว่าคะแนนฐานมากกว่า 3 คะแนน จะได้คะแนนพัฒนาการ 0 คะแนน ถ้าต่ำกว่าคะแนนฐานตั้งแต่ 1-3 คะแนนจะได้คะแนนพัฒนาการ 10 คะแนน ถ้าได้เท่าคะแนนฐานถึงมากกว่าคะแนนฐานตั้งแต่ 1-3 คะแนนจะได้คะแนนพัฒนาการ 20 คะแนน ถ้าได้มากกว่าคะแนนฐาน 3 คะแนนขึ้นไปจะได้คะแนนพัฒนาการ 30 คะแนน ถ้าได้คะแนนเต็มโดยไม่พิจารณาคะแนนฐาน จะได้คะแนนพัฒนาการ 30 คะแนน) ส่วนคะแนนของกลุ่มได้จากการรวมคะแนนพัฒนาการของนักเรียนทุกคนในกลุ่มเข้าด้วยกันแล้วหาค่าเฉลี่ย
6. สุ่มสัมภาษณ์ผู้เรียนแต่ละกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับการเรียนและการทำงานกลุ่ม สัปดาห์ละ 1 ครั้ง รวม 2 ครั้ง
7. หลังจากผู้วิจัยสอนครบทุกหัวข้อ ผู้เรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน ซึ่งเป็นแบบทดสอบชุดเดียวกับแบบทดสอบก่อนเรียน ใช้เวลา 10 นาที
การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 รายวิชา ส23103 ประวัติศาสตร์5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เรื่องที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ได้มีการวิเคราะห์ข้อมูล ดังต่อไปนี้
1. ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการสอบก่อนและหลังเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จะพิจารณาว่าจำนวนนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50 ของจำนวนข้อสอบทั้งหมดมีจำนวนเพิ่มขึ้นหรือไม่ และวิเคราะห์ค่าความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังการเรียนแบบร่วมมือด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป
2. การปฏิบัติการทดลองและการนำเสนอผลงานและร่วมอภิปรายหน้าชั้นของนักเรียน จะพิจารณาคะแนนรวมของนักเรียนแต่ละกลุ่มว่ามีคะแนนสูงขึ้นหรือไม่
3. การปฏิบัติตามใบงานของแต่ละคาบเรียน ใช้คะแนนพัฒนาการของนักเรียนแต่ละคนเฉลี่ยเป็นคะแนนของกลุ่มว่ามีคะแนนสูงขึ้นหรือไม่
4. ด้านความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น โดยการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ ข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยอ่านข้อความที่บันทึกไว้แล้วจัดกลุ่มคำตอบ
5. ข้อมูลที่ได้จากแบบประเมินการมีส่วนร่วมในการทำงานกลุ่มก่อนและหลังการเรียนแบบร่วมมือ ผู้วิจัยหาคะแนนเฉลี่ยรวมของผู้เรียนทุกคนในแต่ละด้าน แล้วนำคะแนนที่ได้มาพิจารณาในแต่ละด้านว่ามีคะแนนสูงขึ้นหรือไม่
6. ข้อมูลการเลือกเพื่อน 5 คน เพื่อทำงานด้วยทั้งก่อนและหลังการเรียนแบบร่วมมือ นำมาเขียน
แผนภาพสังคมมิติ เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนในห้องเรียนก่อนและหลังการเรียนแบบร่วมมือ
7. ผลและการดำเนินการ
1. ผลการวิจัยด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ผู้วิจัยแบ่งการนำเสนอผลการวิจัยด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เรื่องที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ออกเป็น 3 ส่วน
ดังต่อไปนี้
1.1 คะแนนก่อนและหลังเรียน
1.2 คะแนนปฏิบัติกิจกรรมตามใบงาน
1.3 คะแนนการการนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน
1.1 คะแนนก่อนและหลังเรียน
นักเรียนได้คะแนนทดสอบก่อนเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เรื่องที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ โดยเฉลี่ย 2.38 คะแนนและคะแนนทดสอบหลังเรียนโดยเฉลี่ย 9.33 คะแนน โดยมีจำนวนนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 จากการทดสอบก่อนเรียนซึ่งไม่มีคนผ่าน เมื่อได้เรียนตามขั้นตอนแล้วทดสอบหลังเรียน มีจำนวนนักเรียนที่สอบผ่าน 40 คน ซึ่งคะแนนก่อนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
1.2 คะแนนปฏิบัติกิจกรรมตามใบงาน
1.2.1 การประเมินใบงานที่ 4.1 มีคะแนนเฉลี่ย 9.65 การประเมินใบงานที่ 5.1-5.4 มี
ค่าเฉลี่ย 9.50 การประเมินใบงานที่ 6.1 มีค่าเฉลี่ย 9.65และการประเมินใบงานที่ 7.1 มีค่าเฉลี่ย 9.40
1.2.2 แบบสังเกตพฤติกรรมของผู้สอนใช้วัดเจตคติลักษณะอันพึ่งประสงค์ระหว่างผู้เรียนทำ
กิจกรรมขณะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามใบงานที่ 4.1 มีค่าเฉลี่ย 9.63 มีค่าเฉลี่ย 9.75 ตามใบงานที่ 5.1-5.4 มีค่าเฉลี่ย 9.50 ตามใบงานที่ 6.1 มีค่าเฉลี่ย 9.80 ตามใบงานที่ 7.1 มีค่าเฉลี่ย 10.00
1.3 และการนำเสนอผลงานของนักเรียน
1.3.1 แบบประเมินผลงานกลุ่ม โดยการการจัดการเรียนรู้แบบแบบร่วมมือ ตามใบงานที่ 5.1-
5.4 โดยจัดการเรียนรู้เป็นกลุ่มการเรียนรู้ 4 กลุ่ม ๆ ละ 10 คน มีค่าเฉลี่ย 9.75
2. ผลการวิจัยด้านการทางานร่วมกับผู้อื่น
ผู้วิจัยแบ่งการนำเสนอผลการวิจัยด้านการทำงานร่วมกับผู้อื่นออกเป็น 3 ด้านดังนี้ 1) สังคมมิติของนักเรียนก่อนวิจัยและหลังการวิจัย 2) ผลการประเมินตนเองและเพื่อนในการทางานเป็นกลุ่ม 3) ผลการสำรวจเจตคติต่อการเรียนแบบร่วมมือโดยการสัมภาษณ์
2.1 สังคมมิติของนักเรียนก่อนและหลังการเรียนแบบร่วมมือ
จากการเขียนแผนภาพสังคมมิติแสดงการเลือกเพื่อนทำงานด้วยก่อนการเรียนแบบร่วมมือ พบว่า โครงสร้างทางสังคมในห้องนี้แบ่งเป็นกลุ่มย่อย 8 กลุ่ม มีลักษณะคล้ายกับการนั่งเรียนในห้องเรียนตามกลุ่มเพื่อนที่ตนสนิท จากการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการพบว่า ผู้ที่มีเพื่อนนิยมมากจะเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนอยู่ในระดับดีมาก มีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนอื่นได้ง่ายและช่วยเหลือกิจกรรมของชั้นเรียนอยู่เสมอ ส่วนนักเรียนที่ไม่ถูกผู้อื่นเลือกเลยจานวน 2 คนนั้นเป็นนักเรียนที่ไม่ค่อยมีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายและไม่ค่อยพูดคุยกับเพื่อนในห้องส่วนแผนภาพสังคมมิติแสดงการเลือกเพื่อนทำงานด้วยหลังการเรียนแบบร่วมมือ พบว่า โครงสร้างทางสังคมในห้องนี้มีความสัมพันธ์กันดีขึ้นกว่าก่อนการเรียนแบบร่วมมือ เนื่องจากมีลักษณะการเลือกเพื่อนมีลักษณะกระจาย ซึ่งมีการเลือกเพื่อนต่างกลุ่มมาทำการทดลองมากขึ้น ไม่ใช่มีลักษณะเลือกกลุ่มเพื่อนสนิทเหมือนก่อนการเรียนแบบร่วมมือ แสดงว่านักเรียนเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีผู้ไม่ถูกเพื่อนเลือกเลยมีจานวน 2 คน เนื่องจากผู้ที่ไม่ถูกเลือกในครั้งนี้ ถูกจัดกลุ่มแยกกับเพื่อนที่ตนสนิทและไม่สามารถปรับตัวเข้ากับเพื่อนกลุ่มใหม่และวิธีการเรียนแบบร่วมมือได้ แต่โดยรวมนักเรียนในห้องนี้มีความสัมพันธ์กันดีขึ้น ทั้งเพศชายและเพศหญิงสามารถทางานร่วมกันได้และมีผู้ที่ได้รับความนิยมจากเพื่อนมากมีจำนวนเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักเรียน มีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดี จึงสร้างความประทับใจให้เพื่อนร่วมงานที่ตนไม่เคยสนิทมาก่อน จึงได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น ส่วนผู้ไม่ถูกเลือกเลยจากครั้งก่อนการเรียนแบบร่วมมือนั้น สามารถปรับตัวและทางานร่วมกับผู้อื่นได้มากยิ่งขึ้น เพื่อนจึงเลือกให้เข้าทางานกลุ่มในที่สุด
2.2 ผลการประเมินตนเองและเพื่อนในกลุ่มในการทำงานเป็นกลุ่ม
ก่อนการเรียนแบบร่วมมือนักเรียนมีคะแนนรวมจากการประเมินตนเองและเพื่อนในกลุ่มทุก ๆ ด้านเฉลี่ยเท่ากับ 14.25 และหลังจากเรียนแบบร่วมมือแล้วกลับไปทำงานร่วมกับเพื่อนกลุ่มเดิมพบว่า นักเรียนมีคะแนนรวมจากการประเมินตนเองและเพื่อนในกลุ่มทุก ๆด้านเฉลี่ยเท่ากับ 19.15 ซึ่งเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ด้านแสดงว่านักเรียนได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่นจากเพื่อนกลุ่มใหม่ที่ผู้วิจัยจัดให้และนำมาปรับใช้กับการทำงานร่วมกับเพื่อนกลุ่มเดิมได้ดีขึ้นและอยู่ในเกณฑ์ดีมาก
2.3 ผลการสำรวจเจตคติต่อการเรียนแบบร่วมมือโดยการสัมภาษณ์
จากการสุ่มสัมภาษณ์นักเรียนแต่ละกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการ พบว่านักเรียนพอใจกับวิธีการเรียนแบบร่วมมือ ซึ่งมีกิจกรรมที่สนุกมากกว่าการเรียนแบบเดิมตามหนังสือ หากไม่เข้าใจเนื้อหาตรงไหนก็สามารถสอบถามจากเพื่อนผู้รู้และได้คำตอบที่เข้าใจง่าย นอกจากนี้ยังมีการทดสอบท้ายหน่วยการเรียนรู้ ถ้าไม่ตั้งใจเรียนก็จะทำให้คะแนนของกลุ่มไม่ดี การเรียนแบบนี้ยังช่วยให้การทำงานต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีระบบ คือ มีการมอบหมายงานที่ชัดเจนมากขึ้นทำให้งานในกลุ่มสำเร็จตามเวลาที่กาหนดและเป็นการสอนที่ฝึกทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างไรนักเรียนบางคน ยังคงชอบการจัดการเรียนการสอนแบบเดิม เพราะคิดว่าการเรียนแบบร่วมมือนั้นใช้เวลามาก ส่วนการเรียนแบบเดิมนั้นผู้สอนจะคอยอธิบายประเด็นสำคัญๆ ทำให้ได้รับเนื้อหาครบถ้วนและถูกต้องกว่า
สรุป อภิปรายและข้อเสนอแนะ
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 รายวิชา ส23103 ประวัติศาสตร์5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เรื่องที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ มีการสรุป อภิปรายและข้อเสนอแนะ ดังต่อไปนี้
สรุป
การวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 รายวิชา ส23103 ประวัติศาสตร์5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เรื่องที่ 2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ พบว่า การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางเรียนของผู้เรียนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับการเรียนการสอนแบบปกตินักเรียนมีทักษะกระบวนการคิด มีความรับผิดชอบ มีทักษะกระบวนการกลุ่มและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าการเรียนแบบปกติ
อภิปราย
นอกจากนี้การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) ยังเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถเพิ่มทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น โดยกระตุ้นให้นักเรียน มีการช่วยเหลือกลุ่มอย่างเต็มความสามารถ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มด้วยเหตุผลและรับฟังความคิดเห็นด้วยใจที่เป็นกลางดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดสอดคล้อง(วรรณทิพา รอดแรงค้า, 2538; Johnson, D ; Johnson Roger and Johnson, Holubec.1993.) ที่พบว่าการเรียนแบบร่วมมือ สามารถกระตุ้นให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันและพัฒนาทักษะทางสังคมและทักษะการร่วมมือในช่วยกันทางานจนงานสำเร็จ
ข้อเสนอแนะ
1. ผู้สอนควรอธิบายขั้นตอนต่าง ๆ ในการจัดการเรียนตามทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) ให้มีความชัดเจนก่อนให้นักเรียนลงมือทำใบงาน เพื่อผู้เรียนจะได้วางแผนการทำงานในกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2. ผู้สอนควรควบคุมการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) ให้อยู่ในเวลาที่กำหนด
3. ผู้สอนควรกระตุ้นให้ผู้เรียน ศึกษาค้นคว้าเนื้อหามาก่อนล่วงหน้า เพื่อที่จะทาความเข้าใจเนื้อหาที่เรียนในห้องได้ง่ายขึ้นและมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น
บรรณานุกรม
ทิศนา แขมมณี. (2550).
ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการวัดกระบวนการเรียนรู้ ที่มีประสิทธิภาพ.
พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พิมพันธ์ เดชะคุปต์. (2544).
การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ : แนวคิด วิธีและเทคนิคการ สอน1.
กรุงเทพมหานคร : เดอะมาสเตอร์กรุ๊ป แมเนจเม้นท์.
มานพ ประธรรมสาร. (2538).
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการเรียนคําศัพท?ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาป?ที่ 1 ที่เรียนโดยให?เพื่อนช?วยสอนกับที่เรียนโดยให?ครูเป?นผู?สอน. วิทยานิพนธ? ศษ.ม.
นครปฐม: มหาวิทยาลัยศิลปากร.
สมบัติ กาญจนารักพงค์. (2547).
นวัตกรรมทางศึกษา ชุดคู่มือประเมินทักษะการคิด ตามหลักสูตรขั้น
พื้นฐานพุทธศักราช 2544. กรุงเทพมหานคร : ซีเอ็ดยูเคชั่น.
วรรณทิพา รอดแรงค้า. (2538).
การเรียนแบบร่วมมือ. สาระการศึกษา. กองทุนศาสตราจารย์ดร.อุบล
เรียงสุวรรณ คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
อารี สัณหฉวี. (2543).
พหุปัญญาและการเรียนแบบร่วมมือ. กรุงเทพมหานคร : แว่นแก้ว.
David W.J., Roger, T.J., & Karl,A.S.(1998).
Cooperative learning returns to college :
What evidence is there that it works? Change. July/August, 27-35.
Johnson, D ; Johnson Roger and Johnson, Holubec.1993. Cooperative in the Classroom.
Minnesota : Interaction Book.
ข้อมูลสารสนเทศ
ผ่องฉวี มณีรัตนพันธุ์. (มปป.)
การเรียนรู้แบบร่วมมือ. สืบค้นข้อมูลเมื่อ 14 มิถุนายน 2561
จาก https://www.gotoknow.org/posts/201289